วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
วิปัสสนากรรมฐาน คือ
วิ แปลว่า แจ่มแจ้ง แตกต่างจากและวิเศษกว่าการหยั่งรู้โดยโลกวิธี
ปัสสนา แปลว่า การเห็น คือ การหยั่งรู้ด้วยปัญญา ซึ่งเกิดจากวิปัสสนาวิธี
กรรม แปลว่า การกระทำ คือ การกระทำด้วยใจอัน ประกอบด้วยความเพียร สติ สัมปชัญญะ ตามวิธีการ
ฐาน แปลว่า การงาน คือ สิ่งที่ตัวกระทำ ได้แก่ ใจเข้าไปกำหนดเพื่อความรู้แจ้ง
วิปัสสนากรรมฐาน คือ การเพียรใช้สติ สัมปชัญญะ เข้าไปกำหนดสิ่งที่เกิดขึ้นทางกายและ ใจเพื่อให้เกิด
ปัญญาหยั่งรู้อย่าง แจ่มแจ้งซึ่งมิใช่จากสุตะวิธี (คือการฟังผู้อื่นบอกเล่า) หรือ ตรรกะวิธี (การคิดตามด้วยเหตุผล) และแม้สมถะวิธี (การทำให้ใจความเกิดสงบ)
วิธีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
๑.การเดินจงกรม ก่อนเดินให้ยกมือไขว้หลังมือขวาจับข้อมือซ้ายวางไว้ตรงกระเบนเหน็บ ยืนตัวตรง เงยหน้า หลับตา ให้สติจับอยู่ที่ปลายผมกำหนดว่า ยืนหนอ ช้าๆ ๕ ครั้ง เริ่มจากศีรษะลงมาปลายเท้า และจากปลายเท้าขึ้นไปบนศีรษะ จากศีรษะลงมาปลายเท้า และจากปลายเท้าขึ้นไปบนศีรษะกลับขึ้น
กลับลงจนครบ ๕ ครั้ง แต่ละครั้ง แบ่งเป็น ๒ ช่วง
ช่วงแรก กำหนดลง คำว่า ยืน จิตวาดมโนภาพ ร่างกายจากศีรษะลงมาหยุดที่สะดือ คำว่า หนอ จากสะดือ
ลงไปปลายเท้า ช่วงสอง กำหนดขึ้น คำว่า ยืน จากปลายเท้ามาหยุดที่สะดือ คำว่า หนอ จากสะดือขึ้นไป
ปลายผม กำหนด กลับไป,กลับมา จนครบ ๕ ครั้ง ขณะนั้นให้สติอยู่ที่ร่างกาย อย่าให้ออกนอก
กาย เสร็จแล้ว ลืมตาขึ้นก้มหน้าทอดสายตาไปข้างหน้าประมาณ ๔ ศอก สติจับอยู่ที่เท้า
การเดิน กำหนดว่า ขวาย่างหนอ กำหนดในใจ คำว่า ขวา ต้องยกส้นเท้าขวาขึ้นจากพื้นประมาณ ๒ นิ้ว
เท้ากับใจนึกต้องให้พร้อมกัน ย่าง ต้องก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าช้าที่สุดเท้ายังไม่เหยียบพื้น คำว่า
หนอ เท้าลงถึงพื้นพร้อมกัน เวลายกเท้าซ้ายก็เหมือนกัน กำหนด ซ้าย ย่าง หนอ คงปฏิบัติ
เช่นเดียวกันกับ ขวา ย่าง หนอ ระยะก้าวในการเดินห่างกันประมาณ ๑ คืบ เป็นอย่างมากเพื่อการ
ทรงตัวขณะก้าวจะได้ดีขึ้น เมื่อเดินสุดสถานที่ใช้แล้ว ให้นำเท้ามาเคียงกัน เงยหน้าหลับตา กำหนด ยืน หนอ ช้าๆ อีก ๕ ครั้ง เหมือนกับที่ได้อธิบายมาแล้ว ลืมตา ก้มหน้า
ท่ากลับการกลับ กำหนดว่ากลับหนอ ๔ ครั้ง คำว่า กลับหนอครั้งที่ ๑ ยกปลายท้าวขวา ใช้ส้นเท้าซ้ายมาติดกับเท้าขวา ๙๐ องศา ครั้งที่ ๒ ลากเท้าซ้ายมาติดกับเท้าขวา ครั้งที่๓ ทำเหมือนครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๔ ทำเหมือนครั้งที่ ๒ ขณะนี้จะอยู่ในท่ากลับหลัง แล้วต่อไปกำหนด ยืนหนอ ช้าๆ อีก ๕ ครั้ง ลืมตาก้มหน้า แล้ว
กำหนดเดินต่อไปกระทำเช่นนี้จนหมดเวลาที่ต้องการ
การเดินจงกรมนั้น สามารถกำหนดความละเอียดในการเดินได้ถึง ๖ ระยะ
๑.ขวา...ย่าง...หนอ ซ้าย...ย่าง...หนอ
๒.ยก...หนอ เหยียบ...หนอ
๓.ยก...หนอ ย่าง...หนอ เหยียบ...หนอ
๔.ยกส้น... หนอ ยก...หนอ ย่าง...หนอ เหยียบ...หนอ
๕.ยกส้น...หนอ ยก...หนอ ย่าง...หนอ ลง...หนอ ถูก...หนอ
๖.ยกส้น...หนอ ยก...หนอ ย่าง...หนอ ลง...หนอ ถูก...หนอ กด...หนอ
๒.การนั่ง กระทำต่อจากการเดินจงกรมอย่าให้ขาดตอนลง เมื่อเดินจงกรมถึงที่นั่ง ให้กำหนดยืน
หนอ อีก ๕ ครั้ง ตามที่กระทำมาแล้วเสียก่อนแล้วกำหนดปล่อยมือลงข้างตัวว่า ปล่อยมือ
หนอๆๆๆช้าๆจนกว่าจะลงสุด เวลานั่งค่อยๆ ย่อตัวลงพร้อมกับกำหนด ตามอาการที่ทำไปจริงๆ
เช่น ย่อตัวหนอๆๆๆ เท้าพื้นหนอๆๆๆ คุกเข่าหนอๆๆๆ นั่งหนอๆๆๆ เป็นต้น
๓.การหายใจ เมื่อหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ หายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบต้องทันกัน อย่าให้ก่อนหรือหลังกันข้อสำคัญให้สติจับอยู่ที่ พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูกอย่าตะเบ็งท้องให้มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่า ท้องไปข้างหน้า ท้องยุบมาข้างหลัง อย่าให้เห็นไปว่า ท้องพองขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด
๔.การกำหนดเวทนา เมื่อมีเวทนา เวทนาเป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติแน่นอน จะต้องมีความอดทน เพื่อเป็นการสร้างขันติบารมีไปด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลวในขณะที่นั่งหรือเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้ามีเวทนา ความเจ็บปวด เมื่อย คันๆ เกิดขึ้นให้หยุดเดินหรือหยุดกำหนดพองยุบ ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาเกิดและกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า ปวดหนอๆ เจ็บหนอๆ เมื่อยหนอๆ คันหนอๆ เป็นต้นให้กาหนดไปเรื่อยๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป เมื่อเวทนาหายไปแล้ว ก็ให้กำหนด นั่งหรือเดินต่อไปจิตเวลานั่งอยู่หรือเดินอยู่ ถ้าจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สิน หรือคิดฟุ้งซ่านต่างๆ นานา ก็เอาสติปักลงที่ลิ้นปี่ พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอๆ
๕.วิธีนั่ง ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้ายนั่งตัวตรง หลับตาเอาสติมาจับอยู่ที่สะดือที่ท้องพองยุบ
เวลาหายใจออกท้องยุบ กำหนดว่า ยุบหนอ เวลาหายใจเข้าท้องพอง กำหนดว่า พองหนอ ใจนึกกับท้องที่ยุบและพอง ต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อน หรือ หลังกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตจะหยุดคิด หากจิตเกิดความรู้สึกดีใจ เสียใจ หรือโกรธ ก็กำหนดเช่นกันว่า ดีใจหนอๆ เสียใจหนอๆ โกรธหนอๆ เป็นต้น
๖.วิธีนอน เวลานอน เวลานอนค่อยๆ เอนตัวนอนพร้อมกับกำหนดตามไปว่า นอนหนอๆ จนกว่า หลังจะสัมผัสพื้นนอนลงเรียบร้อย ขณะนั้นให้เอาสติจับอยู่กับอาการเคลื่อนไหวของร่างกายเมื่อนอนเรียบร้อยแล้วให้เอาสติมาจับที่ท้อง แล้วกำหนดว่า พองหนอ ยุบหนอ ต่อไปเรื่อยๆให้คอยสังเกตให้ดีว่า จะหลับไป ตอนพอง หรือตอนยุบ
๗.อิริยาบถต่างๆ การเดินไปในที่ต่างๆ การเข้าห้องน้ำ การเข้าห้องส้วม การรับประทานอาหาร และ
การกระทำกิจการงานทั้งปวง ผู้ปฏิบัติต้องมีสติกำหนดอยู่ทุกขณะในอาการเหล่านี้ ตามความเป็นจริง คือ มีสติสัมปชัญญะเป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น